การลงทุนคืออะไร
ประเภทของการลงทุน
การลงทุนแบบ Active: ส่วนนี้เกี่ยวข้องกับการซื้อและการขายหลักทรัพย์เพื่อให้ได้ผลการดำเนินงานที่สูงกว่าดัชนีชี้วัดการลงทุนที่ตั้งไว้ภายในระยะเวลาหนึ่ง ในที่นี้นักลงทุนแบบ Active สามารถซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์สี่สิบรายการเพื่อให้มีผลการดำเนินงานที่สูงกว่าบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ 500 แห่ง หรือที่เรียกว่าดัชนี S&P 500
การลงทุนแบบ Passive: การลงทุนประเภทนี้ใช้ในกรณีที่นักลงทุนต้องการลงทุนตามดัชนีชี้วัดหรือผลการดำเนินงานของตลาดในบางครั้ง บรรดานักลงทุนกลุ่มนี้จะหลีกเลี่ยงหลักทรัพย์จำพวกกองทุนที่มีเกณฑ์มาตรฐานเปรียบเทียบผลการดำเนินงาน อาทิ กองทุนดัชนีและ ETF (กองทุนรวมดัชนีที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์) การเคลื่อนไหวดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายเพื่อติดตามผลการดำเนินงานของตลาด
การเทรดคืออะไร
การเทรดเป็นการลงทุนทางการเงินแบบ Active มากกว่า ซึ่งเป็นระยะสั้นเมื่อเทียบกับการลงทุน ในที่นี้เทรดเดอร์จะถือสถานะการเทรดในระยะเวลาที่สั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด ส่วนใหญ่จะซื้อหรือขายหลักทรัพย์ภายในไม่กี่ชั่วโมง, ไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ เพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวของราคาภายในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
การเทรดนั้นต้องอาศัยความมุ่งมั่นมากกว่าการลงทุน โปรดจำไว้ว่า นักลงทุนสามารถซื้อสินทรัพย์ กองทุน หรือหุ้น และลืมมันไปได้เป็นเวลานาน ในขณะที่เทรดเดอร์จำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวหรือพัฒนาการของตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเรื่องนี้ เทรดเดอร์มีรูปแบบการเทรดที่หลากหลายที่พวกเขาสามารถใช้ได้ เราจะมาพูดคุยถึงเรื่องนี้กันแบบสั้น ๆ
รูปแบบการเทรด
Swing trading (การเทรดแบบสวิง): รูปแบบการเทรดนี้เน้นที่การเคลื่อนไหวของราคาในกรอบที่กว้างขึ้น แทนที่จะเข้าและออกจากการเทรดตามแนวโน้มราคา เทรดเดอร์จะถือสถานะไว้เป็นเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันถึงหลายสัปดาห์
Scalping style (การเก็งกำไรเล็กน้อยในระยะสั้น): รูปแบบนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อรวบรวมผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ โดยจะเป็นการถือสถานะการเทรดในช่วงเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ตั้งแต่วินาทีถึงสองสามนาที
Day Trading (การเทรดรายวัน): รูปแบบการเทรดนี้เป็นการเปิดและปิดสถานะในวันเดียว โปรดจำไว้ว่า การเทรดที่ปิดก่อนตลาดปิดทำการจะลดการถูกรบกวนจิตใจจากข่าวสารการตลาดในชั่วข้ามคืน
Position trading (การเทรดสถานะ): ในการเทรดรูปแบบนี้ เทรดเดอร์จะได้รับประโยชน์จากราคาที่มีแนวโน้มโดดเด่น แนวโน้มจะเกิดขึ้นเมื่อราคาของสินทรัพย์บางรายการมีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวในช่วงเวลาที่สำคัญ
Social trading style (รูปแบบโซเชียลเทรดดิ้ง) : รูปแบบนี้เป็นรูปแบบการเทรดเพิ่มเติม อุตสาหกรรมการเงินประกอบไปด้วยบรรดาเทรดเดอร์ที่มีจุดเริ่มต้น ภูมิหลัง และทักษะที่หลากหลายต่างกันไป บางรายมีการเรียนรู้ มีทักษะ และประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ การทำงานร่วมกันระหว่างเทรดเดอร์ถือเป็นสิ่งสำคัญ เช่นเดียวกับที่เครือข่ายสังคมออนไลน์ดำเนินการ นี่เป็นวิธีที่ Social trading ดำเนินการเช่นเดียวกัน
Social Trading คืออะไร
คุณจะไม่สามารถเทรดได้อย่างมั่นใจหรือสบายใจหากคุณไม่มีความรอบรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดการเงิน เช่น การเทรดฟอเร็กซ์หรือการเทรดโลหะมีค่า ในฐานะเทรดเดอร์ คุณไม่สามารถที่จะดำเนินการคนเดียวได้ มิฉะนั้นคุณจะสูญเสียเงิน นั่นคือที่มาของ Social Trading ที่นำเสนอโอกาสเสี่ยงให้แก่บรรดาเทรดเดอร์ที่ยังไม่มีประสบการณ์หรือมือใหม่
ประโยชน์ของ Social Trading
เทรดเดอร์สามารถเข้าใจตลาดการเทรดได้อย่างรวดเร็ว ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่เทรดเดอร์อาจต้องใช้เพื่อการเรียนรู้จะลดลงเมื่อดำเนินการผ่านแพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ทางโซเชียล ซึ่งมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว
ข้อแตกต่างที่สำคัญระหว่างการลงทุนและการเทรด
ข้อแตกต่างหลักประการแรกคือประเภทของสินทรัพย์ที่แต่ละกลยุทธ์ใช้ สำหรับการลงทุน ประเภทของสินทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นหุ้นหรือการเทรดหุ้นอย่างที่ทราบกันทั่วไป หุ้นเหล่านี้แสดงถึงความเป็นเจ้าของในบริษัท ซึ่งสามารถให้ผลตอบแทนมากมายในช่วงเวลาหนึ่งเมื่อเทียบกับสินทรัพย์รูปแบบอื่น นักลงทุนสามารถเพิ่มสินทรัพย์อื่นๆ สองสามรายการไปพร้อมกันได้เพื่อกระจายพอร์ตการลงทุน เทรดเดอร์นั้นมีสินทรัพย์มากมายหลายประเภทให้มุ่งเน้น เช่น การเทรดฟิวเจอร์ส, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ และสกุลเงินต่างๆ เป็นต้น จุดที่เป็นความแตกต่างอีกประการหนึ่งคือนักลงทุนมีส่วนเกี่ยวข้องในการซื้อขาดสินทรัพย์ ในขณะที่เทรดเดอร์บางครั้งจะใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ เช่น CFD ในการเข้าถึงสินทรัพย์บางรายการ
วิธีค้นหาโอกาสและศึกษาวิจัยตลาดก็เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่ง นักลงทุนใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมากเกินไปโดยดูจากข้อมูลในมือเกี่ยวกับสินทรัพย์บางประเภทเพื่อตัดสินใจว่าจะซื้อหรือขายสินทรัพย์นั้นได้หรือไม่ สำหรับหุ้น นักลงทุนจะมองหาปัจจัยต่างๆ ต่อไปนี้ อันได้แก่ งบดุล, ภัยคุกคามจากการแข่งขัน, ความก้าวหน้าของกำไร หรือภูมิหลังทางเศรษฐกิจในการตัดสินใจซื้อหุ้น สำหรับเทรดเดอร์ พวกเขาจะให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคมากกว่าโดยการตรวจสอบกราฟราคา, รูปแบบ, แนวโน้ม หรือตัวชี้วัดต่างๆ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต ข้อมูลราคาในอดีตสามารถใช้คาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้ บรรดาเทรดเดอร์ใช้กลยุทธ์การวิเคราะห์ทางเทคนิคต่อไปนี้
Breakout trading (การเทรดทะลุผ่านแนวรับแนวต้าน): กลยุทธ์นี้ใช้กับสินทรัพย์ที่ราคาทะลุผ่านระดับแนวต้านหรือแนวรับที่กำหนดไว้
Trend trading (การเทรดตามแนวโน้ม): กลยุทธ์นี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างผลกำไรผ่านแนวโน้มราคาของสินทรัพย์ เทรดเดอร์จะต้องเทรดตามทิศทางของแนวโน้มเพื่อสร้างผลกำไร
Support or resistance trading (การเทรดที่ระดับแนวรับหรือแนวต้าน): กลยุทธ์นี้ส่งเสริมการสร้างผลกำไรผ่านการระบุระดับแนวรับหรือแนวต้านของสินทรัพย์ แนวรับหมายถึงระดับราคาที่ราคาของสินทรัพย์ตกลงไปต่ำกว่านี้ได้ยาก แนวต้านเป็นระดับที่ราคาของสินทรัพย์ปรับตัวขึ้นไปมากกว่านี้ได้ยาก
ข้อแตกต่างที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือความเสี่ยงและการบริหารจัดการความเสี่ยง: ทั้งการลงทุนและการเทรดต่างมีลักษณะความเสี่ยงเฉพาะตัว ซึ่งนั่นหมายความว่าย่อมต้องมีวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงที่ต่างกัน สำหรับนักลงทุน มีความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องอยู่สองประเภท อันได้แก่ ความเสี่ยงเฉพาะและความเสี่ยงด้านตลาด ความเสี่ยงด้านตลาดเกี่ยวข้องกับการลดลงของมูลค่าของตลาดทั้งหมด ในขณะที่ความเสี่ยงเฉพาะเกี่ยวข้องกับการลดลงของมูลค่าสินทรัพย์เฉพาะ เช่น หุ้น การกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนสามารถลดความเสี่ยงได้ ส่วนบรรดาเทรดเดอร์ต้องเผชิญกับความเสี่ยง 2 ประเภท คือ ความเสี่ยงจากความผันผวนและความเสี่ยงจากเลเวอเรจ ความผันผวนหมายถึงความผันผวนของราคาในระยะสั้น ในขณะที่เลเวอเรจเกี่ยวข้องกับเพิ่มผลทางการเงินหรือการยืมเงิน ทั้งนี้เพื่อรับมือกับความเสี่ยง บรรดาเทรดเดอร์จะใช้กลยุทธ์ด้านล่างนี้
ระหว่างการลงทุน VS การเทรด: แบบไหนดีกว่ากัน
บทสรุป จากจุดเริ่มต้นของโพสต์นี้ สามารถจำแนกได้สามลักษณะที่ชัดเจน อันได้แก่ ระยะเวลา แนวทาง และความเสี่ยง การลงทุนระยะยาวมีความเสี่ยงน้อยกว่า ในขณะที่การเทรดระยะสั้นมีความเสี่ยงสูง สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคุณสามารถลงทุนและดำเนินการเทรดได้ แม้ว่าจะขึ้นอยู่กับความอดทนหรือความสามารถในการรับความเสี่ยงของคุณ บางทีคุณอาจเคยใช้คำศัพท์สองคำนี้แทนกันโดยไม่ทราบความหมายที่แท้จริง ตอนนี้เราเชื่อว่าจากโพสต์นี้ คุณได้ทำความคุ้นเคยกับความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการเทรดและการลงทุนแล้ว แต่นอกจากนี้ผลลัพธ์ทั้งจากการลงทุนและการเทรดส่วนใหญ่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยตลาดอ้างอิงต่างๆ ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้คุณต้องลงทุนในทรัพยากรการเรียนรู้และลงทุนเวลาเพื่อที่จะได้รับผลกำไรจากสินทรัพย์ที่คุณถือครอง